วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log (ในห้องเรียน) (ครั้งที่ 7)

Learning Log (ในห้องเรียน)
6/10/58
(ครั้งที่ 7)
                การเรียนภาษาอังกฤษนั้นเป็นสิ่งที่เด็กไทยได้รับการส่งเสริมมาตั้งแต่เด็ก ในการเรียนภาษาอังกฤษนั้นเด็กไทยจำเป็นต้องรู้หลักไวยากรณ์ในการเรียนเป็นอย่างมาก ไวยากรณ์ก็ถือได้ว่าเป็นหัวใจหลักในการเรียนภาษาอังกฤษ ถ้านักเรียนไม่เข้าใจในเรื่องไวยากรณ์ ก็จะทำให้ไม่เข้าใจในภาษาอังกฤษเลย โดยเฉพาะเรื่องยากที่เราไม่สามารถเข้าใจเลย โดยเฉพาะเรื่อง Clause มีหลายหัวข้อย่อย สำหรับอาทิตย์นี้ขอเน้นในเรื่องของ Noun clause ซึ่งการใช้ Noun clause อย่างถูกต้องนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากโดยเฉพาะในส่วนของ Writing และ Speaking Noun clause ทำหน้าที่เสมือนเป็นคำนาม ดังนั้น Noun clause จึงสามารถปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่คำนามปรากฏได้ทุกตำแหน่ง คือ เป็นประธาน (Subject) และกรรม (Object) โดยรายละเอียด จะมีประเภทของ Noun clause หลักๆ ประเภทของObject Noun clause หน้าที่และการละ That ใน Noun clause
                Noun clause คือกลุ่มคำที่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเอง และทำหน้าที่เหมือนคำนามตัวหนึ่ง อีกนัยคือ ประโยคที่ทำหน้าที่แทนคำนาม เรียกว่า Noun clause ประเภทของ Noun clause มี 4 ประเภทคือ
1.             Subject Noun clause มีตำแหน่งอยู่หน้าประโยคหรือหน้ากริยา ทำหน้าที่เป็นประธาน
2.             Direct Object  Noun clause มีตำแหน่งอยู่หลังกริยา ทำหน้าที่เป็นกรรม
3.             Object of Preposition Noun clause มีตำแหน่งอยู่หลังบุพบท ทำหน้าที่เป็นกรรมของบุพบท
4.             Subject as Complement Noun clause มีตำแหน่งอยู่หลัง to be ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายประธาน โดยแต่ละอันมีรายละเอียดดังนี้ 1.Subject Noun clause โดยปกติแล้วคำนามหรืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นประธานในประโยคมักจะปรากฏอยู่หน้ากริยาหรือหน้าประโยค ตัวอย่างเช่น what causes so many difficulties in the IELTS test เป็น Noun clause ที่อยู่หน้าประโยคทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค 2. Direct Object Noun clause ตัวอย่างเช่น I suggest you that you should go to a movie with me tonight.ผมแนะนำว่าคุณควรไปดูหนังกับผมคืนนี้ จากประโยคข้างต้น that you should go to a movie tonight. อยู่หลังกริยา Suggest เป็นกรรมตรง (Direct Object) ของ suggest ตามหลังกรรมรอง (Indirect Object) 3. Object of Preposition Noun clause เช่น Yaya is always proud of where she was born. ญาญ่าภูมิใจในบ้านเกิดของตนเองเสมอ จากประโยคข้างต้น Where she was born. เป็นคำนาม มีตำแหน่งอยู่หลังบุพบท (Preposition) of ทำหน้าที่เป็นกรรมของ of 4. Subject as Complement Noun clause ตัวอย่างเช่น the stability of life is what James wants the most in his life.ความมั่นคงในชีวิตคือสิ่งที่เจมส์ต้องการที่สุด จากประโยคข้างต้น what James wants the most in his life.มีตำแหน่งอยู่หลังกริยาช่วย (V.to be) is ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายหรือส่วนสมบูรณ์ของประธาน the stability of life เมื่อบ่งชี้หรือขยายความ the stability of life.
                ประเภทของ Object Noun clause ซึ่งจะต้องอยู่คู่กับ Main clause แล้วตามด้วย Object Noun clause โดยไม่ต้องมีเครื่องหมาย Comma คั่น Object Noun clause มี 3 ประเภทได้แก่
1.             Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า that
2.             Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words (หรือ Question words)
3.             Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า if หรือ whether มีรายละเอียดดังนี้
4.             เราจะใช้ 1.การใช้ Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า that เราใช้ Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า that ในกรณีต่อไปนี้ 1.1 ใช้ตามหลัง verbs บางตัวที่แสดงความรู้สึก ความคิด หรือความคิดเห็น เช่น agree,feel,know,remember,belive,forget,realize,think,doubt,hope,recoghize,understand เช่น Sompong know all along that his mom love him so much.(สมปองรู้มาตลอดว่าแม่รักเขามาก) 1.2 ถ้าเป็นภาษาพูด มักจะละคำว่า that ซึ่งเป็นคำขึ้นต้น clause เช่น I think that it’s red not green. (ภาษาทางการ) I think it’s red not green (ภาษาพูด) 1.3 ส่วนใหญ่กริยาจาก verb ที่ปรากฏอยู่ใน main clause มักจะเป็น present simple tense ธรรมดา ส่วนกริยา verb ใน Noun clause จะเป็น Tense อะไรก็ได้ เช่น 1.4 ในการสนทนา ถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการพูดคำว่า that บ่อยเกินไปหรือไม่ต้องการพูด Noun clause ซ้ำ สามารถตอบได้โดยใช้คำว่า so หรือ not หลัง main clause ได้
2. การใช้ Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words (หรือ Question words) การใช้ Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words (ได้แก่คำว่า what where when why how) มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 2.1 Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Indirect Wh-Question และแม้ว่า Noun clause เหล่านี้จะขึ้นต้นด้วยคำแสดงคำถามแต่ลำดับคำ (word order) ในประโยคนี้จะเป็นลำดับคำของประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ลำดับคำของประโยคคำถาม เช่น I know why she comes home very late. (ไม่ใช่ Why does she comes home very late) 2.2 ใช้เครื่องหมายวรรคตอนขอประโยคจะเป็นไปตามลักษณะของ main clause เป็นคำถามจะใช้เครื่องหมาย Question mark ปิดประโยค ถ้า main clause เป็นประโยคบอกเล่า จะใช้เครื่องหมาย full stop ปิดประโยค เช่น Could you tell me where the elevators one? (main clause เป็นคำถาม) I’m wondering where the elevators are. ( Main clause เป็นประโยคบอกเล่า) 2.3 ใช้ Noun clause ที่ขึ้นต้น Wh-Words เพื่อแสดงให้คู่สนทนาทราบว่า เราไม่รู้ เราไม่แน่ใจ เช่น I don’t know how much it costs. I would like to know when our next meeting will be. I’m not sure which house is his. 2.4 ใช้ Noun clause ที่ขึ้นต้น Wh-Words เพื่อหาข้อมูลอย่างสุภาพ เช่น Could you tell me who are injured in the accident? Can you tell me what time the show starts?
3. การใช้ Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า if และ whether การใช้ Noun clause มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 3.1 Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า if หรือ whether คือ indirect yes/no question นั่นเอง เช่น direct Question: Did they pass the exam? Indirect Question: I don’t know if they passed the exam. (ข้อความที่ขีดเส้นใต้คือ Noun clauseที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า if นั่นเอง) 3.2 ลำดับคำในประโยค (word order) และเครื่องหมายจบประโยค ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ Noun clause Wh-Words 3.3 จะขึ้นต้น Noun clause ด้วยคำว่า if หรือ whether ก็ได้แต่มักใช้ whether ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างเป็นทางการ เช่น Sir, I would like to know whether you prefer coffee or tea. Tell me if you want to go with us or not. 3.4 ใช้ Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า if และ whether เมื่อ Main clause แสดงการใช้ความคิดเห็น หรือความคิดคำนึง เช่น I can’t remember if I had already paid him. I wonder whether he will arrive in time. 3.5 ใช้ Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า if และ whether เมื่อต้องการถามคำถามอย่างสุภาพ เช่น Do you know if the principal is in his coffee. Can you tell me whether the tickets include drinks?
        หน้าที่ของ Noun clause มีดังนี้ 1.เป็นประธานของประโยค เช่น what my father said is true.ย้ำ* ห้ามละ that ในกรณีที่ใช้ that เป็นประธาน ** ห้ามใช้ If กับ Noun clause ที่เป็นประธานของประโยค แต่ใช้ whether ได้ 2.ใช้ Noun clause เป็นกรรมของประโยค 3.Object of a preposition ใช้เป็นกรรมของคำบุพบท โดย Noun clause จะวางอยู่หลังคำบุพบทนั้น เช่น There is no meaning in what she says. 4. Complement ใช้เป็นส่วนเติมเต็มของกริยาในประโยค เช่น He is not what he seems. 5. Appositive ใช้เป็นส่วนขยายของคำนามหรือสรรพนามคำอื่น
        การละ That ในประโยค Noun clause สามารถละได้ในกรณีต่อไปนี้ 1. กรณีที่ Noun clause เป็น object 2.กรณีที่ Noun clause เป็น subject complement 3.กรณีตามหลังคุณศัพท์ ข้อยกเว้น แต่มีบางกรณีที่เราไม่สามารถละ that ได้ เช่น เมื่อ that-clause ขึ้นต้นประโยค that-clause เป็นคำซ้อนนามที่อยู่ข้างหน้ามัน Appositive เมื่อ that- clause อยู่หลัง it is หรือ (it was) เช่น It is true that earth mores round the sun.
        Noun clause เป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลายคนสงสัย แกรมม่าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้ เพื่อสามารถนำไปต่อยอดและใช้ในการเรียนระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะเรื่อง Noun clause เป็นเรื่องที่ยากที่พวกเราพยายามฝึกฝนและทำความเข้าใจเพื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนและการสอบของนักศึกษา การที่เราจะแม่นไวยากรณ์นั้น เราควรมีการฝึกฝน อ่านเยอะๆ สิ่งเหล่านี้สามารถพัฒนาศักยภาพของเราได้อย่างแน่นอน และเราก็สามารถเป็นผู้เรียนที่เก่งได้ในอนาคต ความรู้เหล่านี้สามารถนำไปเรียนรู้ได้บ้าง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และเพิ่มพูนความรู้ในการเรียนการทำงานของเราต่อไปในอนาคต





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น