วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log (ในห้องเรียน)(ครั้งที่ 6)

Learning  Log (ในห้องเรียน)
22/09/58
(ครั้งที่ 6)

                Grammarหรือไวยากรณ์เป็นสิ่งที่จำเป็นในการใช้ในการสื่อสารภาษาอังกฤษการทำความเข้าใจหลักการอาจเป็นเรื่องลำบากสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีการใช้ภาษาเยอะ อย่างไรก็ตามหากเราเข้าไปทำความเข้าใจในองค์ประกอบของ Grammar ต่างๆก็สามารถเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเรียนภาษาอังกฤษได้ดี if clause เป็นเรื่องหนึ่งที่มีเนื้อหาซับซ้อนมากที่นักศึกษาหลายหลายคนไม่ค่อยเข้าใจเป็นเรื่องที่ใช้มากในการเรียนหรือการเล่าเรื่อง if clause หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งคือConditional  sentence คือประโยคเงื่อนไขประกอบด้วยอนุประโยค ประโยคย่อย 2 ประโยคประโยคหนึ่งขึ้นต้นด้วยกลีบ กับอีกประโยคหนึ่งมีหน้าตาเหมือนประโยคสมบูรณ์ทั่วไปสังเกตได้ว่าอนุประโยค 2 ประโยคนี้สลับที่กันได้จะยกประโยคแล้วแต่การเน้นความหมายซึ่ง if clause จะมี 3 แบบด้วยกัน
                ประโยค if clause แบบที่ 1 คือประโยคเงื่อนไขที่อาจจะเป็นไปได้ในปัจจุบันเวลาพูด if clause แบบที่ 1 นี้ส่วนใหญ่จะเป็นไปได้สูง เงื่อนไขเวลาคือปัจจุบัน ดังนั้นจึงใช้ present simple tense เพราะtenseนี้สำหรับบอกข้อเท็จจริง presents simple จะใช้ในกรณีที่ประโยคที่มี if หรือประโยคเหตุส่วนประโยคผลว่าจะใช้เป็น future simple โครงสร้างประโยคคือ if +present  simple, subject +will+v.  เช่น  If I have  buffet ‘ I will be very happy (ถ้าฉันได้กินบุฟเฟต์ฉันจะมีความสุขมาก)   what will you do if she refuses your proposa?( คุณจะทำอย่างไรถ้าเธอปฏิเสธการขอแต่งงาน) ในส่วนของประโยคที่มี if จะใช้ present  tense อื่นก็ได้ เช่น present continuous เช่น if you’re trying to be normal ,you will never knoe hoe amazing you can be.
                ประโยค if clause แบบที่ 2 คือประโยคเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้ ยากในปัจจุบัน พูดง่ายๆคือสิ่งที่เรามโนหรือสมมติขึ้นมาเอง tense ที่จะใช้ใน if clause ประเภทที่ 2 คือ past simple ที่ใช้ tense นี้ เป็นอดีต เพราะเหตุการณ์นี้เราพูดในปัจจุบันแทนที่จะเป็นเพชรแต่มันดันเป็นความจริงในปัจจุบันที่เป็นไปไม่ได้ก็เลยทำให้ความจริงผิดเพี้ยนไปจึงใช้ past simple แทน เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันคือสิ่งที่เปลี่ยนไปจากความจริงโครงสร้าง if clause แบบที่ 2 คือIf+ past simple ,subject+would+ verb เช่น  If I had be thin ,I would be Hollywood actress ( ถ้าฉันผอมฉันจะเป็นดาราฮอลลีวู้ด) หรือ If I had private jet .I would go to USA.(ถ้าฉันมีเครื่องบินส่วนตัวฉันจะไปสหรัฐอเมริกา) มีข้อยกเว้นตรงที่ถ้าหากI ,She,He   กริยาที่เคยใช้ I was ,She was ,He was  เฉพาะในประโยคเงื่อนไขเท่านั้นนะคะเช่น If Lucy’s mother were alive,she would still be a professor in Oxford university.
                ประโยค if clause แบบที่ 3 คือประโยคเงื่อนไขที่แสดงความเป็นไปไม่ได้ในอดีต หรือเป็นการสมมุติเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น หรือถ้ามันเกิดขึ้นก็สมมติว่ามันไม่เกิดขึ้นที่ใช้ จะใช้ past perfect tense มีโครงสร้างแบบนี้คือ If+ past perfect ,subject+would+have+vช่องที่ 3 เช่น If I have not accidented, I would not have this big scare.( ถ้าฉันไม่เกิดอุบัติเหตุฉันจะไม่มีบาดแผลใหญ่ขนาดนี้ ) หรือ If I had set my alarm clock, I would not have got up late.( ตั้งนาฬิกาปลุกนะฉันจะไม่ตื่นสายเลย)   วิธีการจำไว้ว่า if clauseแต่ละแบบใช้ tenseอะไรให้เรานึกถึงหลักความเป็นจริงคือแบบที่ 1 เป็นไปได้ในปัจจุบันใช้ present  simple ธรรมดาแต่แบบที่ 2 และ 3 เป็นเรื่องสมมติขึ้นมาชนะเราจะถอยทิ้งไปหนึ่งเพื่อแสดงว่ามันคือการสมมติแบบที่ 2 เป็นไปไม่ได้ในปัจจุบันจาก present เปลี่ยนเป็น past simple และแบบที่ 3 เป็นไปไม่ได้ในอดีต

                if clause จึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักศึกษาควรเรียนและทำความเข้าใจในการเรียนให้ดี if clause เป็นเรื่องที่ง่ายหากเราอ่านและฝึกฝนมาตลอดเวลาการทำความเข้าใจกันมานาน คือเราต้องอ่านและฝึกฝนบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความเคยชินและสามารถเรียนรู้ได้อย่างอัตโนมัติแกรมม่าเป็นเรื่องที่ง่ายหากเรามีองค์ประกอบในด้านความคิดที่สามารถทำให้เราเข้าใจเนื้อหามากขึ้น  การเรียนแกรมม่าให้ดีขึ้นนั้นแต่ละคนมีเทคนิคและการฝึกฝนที่แตกต่างกัน  บางคนชอบการท่องจำบางคนชอบทำความเข้าใจ  ถึงแม้ว่าทั้งสองจะเป็นวิธีที่ทำให้เรามีความรู้มากขึ้น   แต่ความขยันเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดที่ทำให้เราประสบความสำเร็จได้เรื่อง if clause ไม่ใช่เรื่องที่ยากหากเราพร้อมที่จะเปิดใจรับมันให้มันบ่อยๆเราก็จะสามารถเข้าใจและเรียนรู้ได้ในที่สุดและจะทำให้เราสามารถต่อยอดได้ไกลอีกด้วยและสามารถทำให้เราเข้าใจเนื้อหาอย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น