วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log( ในห้องเรียน)ครั้งที่ 4

คุณธรรมและจริยธรรม
                คุณธรรมและจริยธรรมเป็น 2 คำที่คู่กันมาช้านาน คุณธรรมและจริยธรรม เมื่อนำมารวมกันแล้ว มีความหมายว่าคุณงาม ความดี โลกปัจจุบันกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรม ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ยุคแห่งการแข่งขันและมีการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในสังคม ทำให้มนุษย์ทุกคนมีคุณธรรมและจริยธรรมลดน้อยลง และทำให้คุณธรรมและจริยธรรมอันเป็นเครื่องมือยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนในสังคมมองแล้วเหมือนลดลงไปมาก เยาวชนรุ่นใหม่เกิดมาท่ามกลางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวัตกรรม ท่ามกลางความแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งความอยู่รอดและความเจริญก้าวหน้าในด้านการประกอบอาชีพ ตลอดจนการมีวิถีชีวิตและดำเนินชีวิตประจำวัน การศึกษาและวิธีการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมอันดีงามจึงเป็นสิ่งสำคัญในการหลอหลอม ขัดเกลาจิตใจของเยาวชนไทยให้มีจิตใจที่ดียิ่งขึ้น เมื่อจะเป็นความหวังทางพลังคุณค่าในตัวตน อันจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศชาติในอนาคต ถ้าสิ่งเหล่านี้สามารถปลูกฝังเป็นจิตใต้สำนึกของเด็กได้ จะทำให้เป็นชาติของเราชาติของเราเป็นประเทศชาติที่น่าอยู่มากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องความหมายของคุณธรรม ความหมายของคำว่าจริยธรรม และความสำคัญของคุณธรรมและจริยธรรม
                คุณธรรม คือ คุณสมบัติที่ดีของจิตใจ แท้จริงแล้วคำว่า คุณธรรม คำว่าคุณนั้น แปลว่า ความดี กล่าวโดยรวมคือ คุณธรรมเป็นภาพของจิตใจ หรือคุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจที่สูง ประณีตและประเสริฐ เมตตา คือ ความรักความปรารถนาดี เป็นมิตรอยากให้ผู้อื่นมีความสุข กรุณา คือ ความสงสารอยากช่วยเหลือผู้อื่นมีความสุข มุทิตา คือ ความพลอยยินดี พร้อมที่จะส่งเสริมสนับสนุนผู้ที่ประสบความสำเร็จให้มีความสุขหรือความก้าวหน้าในการทำสิ่งที่ดีงาม อุเบกขา คือ การวางตัววางใจเป็นกลาง เพื่อรักษาธรรมเมื่อผู้อื่นควรจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเขาตามเหตุและผล จาคะ คือ ความมีน้ำใจเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว คุณธรรมเป็นคำสามาสระหว่างคุณ กับ  ธรรมะ เมื่อนำมารวมกันแล้ว จึงหมายถึง คุณงามความดีที่เป็นธรรมชาติ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม เป็นแนวความคิดที่ดี เป็นตัวบังคับให้ประพฤติดี
                จริยธรรม คือ ธรรมที่เป็นข้อประพฤติที่ปฏิบัติ ศีลธรรมหรือกฎศีลธรรม คำว่าจริย แปลว่า ความประพฤติกริยาที่ควรปฏิบัติเป็นคำที่มีความหมายทางรูปธรรม แนวทางของการปฏิบัติจนให้เป็นคนดีเพื่อประโยชน์สุขของตนเองและส่วนรวม จริยธรรมเป็นสิ่งสำคัญในสังคมที่จะนำความสุขสงบและความเจริญก้าวหน้ามาสู่สังคมนั้นๆ เพราะเมื่อคนในสังคมมีจริยธรรม จิตใจย่อมสูงส่ง มีความสะอาด และสว่างในจิตใจ จะทำการใดก็ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน เป็นบุคคลมีคุณค่ามีประโยชน์และสร้างคุณงามความดีอันเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองต่อไป จริยธรรมเป็นรากฐานอันสำคัญแห่งความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคงและความสุขของประชาชน สังคม และประเทศชาติอย่างยิ่ง จริยธรรมสอนให้เราเลิกดูหมิ่นกดขี่คนจน ให้เอาใจใส่ดูแลเอื้ออาทรต่อผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นบุพการีของชาติ สอนให้เราถ่อมเพื่อเข้าหากันได้ดีกับคนทั้งหลายและไม่วางโตโอหังอวดดีหรือก้าวร้าวผู้อื่น
                ความสำคัญของคุณธรรมและจริยธรรม คูณธรรมและจริยธรรมนับว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญของคนทุกคนและทุกวิชาชีพ หากบุคคลใดหรือวิชาชีพใดไม่มีคุณธรรมจริยธรรมเป็นหลักยึดเบื้องต้นแล้วก็ยากที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จแห่งตนและแห่งวิชาชีพนั้นๆ ที่ยิ่งกว่านั้นคือ การขาดคุณธรรมจริยธรรมทั้งในส่วนบุคคลและในวิชาชีพอาจมีผลร้ายต่อตนเอง สังคม และวงการวิชาชีพในอนาคตได้อีกด้วย อาจพบเห็นได้จากการเกิดวิกฤติศรัทธาในวิชาชีพหลายแขนงในปัจจุบัน ทั้งวงการวิชาชีพครู แพทย์ ตำรวจ ทหาร นักการเมือการปกครอง จึงมีคำกล่าวว่าเราไม่สามารถสร้างครูดีบนพื้นฐานของคนไม่ดีและไม่สามารถสร้างแพทย์ ตำรวจ ทหาร และนักการการเมืองที่ดี ถ้าบุคคลเหล่านั้นมีพื้นฐานทางนิสัยหรือความประพฤติที่ไม่ดี การอบรมและปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตองชาติที่มีคุณค่าให้เป็นคนดี มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งทางจิตใจ และร่างกาย ช่วยให้สังคมประเทศชาติสงบร่มเย็น
                การปลูกฝังคุณธรรมแลจริยธรรมจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือตั้งแต่คนในครอบครัว เพื่อน ญาติมิตร ครู อาจารย์ สังคม รวมถึงกระบวนการของประเทศชาติ ผู้ปกครองต้องเป็นแบบอย่าง ครูอาจารย์เป็นทั้งต้นแบบและคอยชี้นำในสิ่งที่ถูกต้อง โรงเรียน บ้าน ช่วยอบรมปลูกฝังและขัดเกลาจิตใจ ให้เยาวชนสามารถพัฒนาจิตใจด้านคุณธรรมและจริยธรรมได้ด้วยตนเอง สามารถควบคุมความประพฤติปฏิบัติของตนให้อยู่ในกรอบของพฤติกรรมที่พึงปรารถนาของสังคม ทั้งในสถานการณ์ปกติ และเมื่อเผชิญปัญหาหรือความขัดแย้ง ต้องอาศัยผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรมเป็นคนดี มีคุณค่าในสังคม เพื่อนำมาประเทศชาติสู่จุดมุ่งหมายอันมั่นคง เยาวชนซึ่งเป็นกำลังสำคัญของชาติ จึงจำเป็นต้องได้รับการปลูกฝัง จากผู้ใหญ่ทุกระดับไม่ว่าจะเป็นระดับครอบครัว ตลอดจนสถาบันชาติ ช่วยขัดเกลาจิตใจหล่อหลอมให้เป็นคนมีคุณธรรมจริยธรรมอันเป็นหลักธรรมสำคัญให้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข



Learning  Log (ในห้องเรียน)
1/09/58
(ครั้งที่ 4)
                ในภาษาอังกฤษนั้นมีเนื้อหาที่เยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะเนื้อหาทางไวยากรณ์ที่หลายคนสับสนและไม่เข้าใจ เพราะเนื้อหาไวยากรณ์ภาษาอังกฤษนั้นมีลักษณะที่ซับซ้อนเข้าใจยาก แต่ถ้าหากเราพยายามเข้าใจและเรียนรู้เราก็สามารถเข้าใจเนื้อหาได้อย่างชัดเจน และลึกซึ้ง โดยเฉาะเรื่อง อนุประโยค (Clause) Clause แบ่งออกเป็น 3  ประเภท คือ Noun clause  Adjective clause และ Adverb clause ทั้งสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องเรียนรู้เพื่อนทำความเข้าใจให้ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่อง Adjective clause ที่มีความยุ่งยากและซับซ้อนมาก  Adjective clause คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ และขยายคำนามหรือสรรพนาม โดยเนื้อหาของ Adjective clause มีดังนี้คือ ลักษณะของ Adjective clause  วิธีการใช้ Adjective  clause การใช้ that ในประโยค Adjective clause  การละคำ Relative Pronoun ใน Adjective clause
                ลักษณะของ Adjective clause มี 2 ลักษณะ คือ 1.Definite  clause คือ clause  ที่ใช้เฉพาะหรือกำหนดสิ่งหนึ่งขึ้นมาหลายๆสิ่งเพื่อให้ประโยคนั้นสมบูรณ์ขึ้น เช่น  Bring me the book which on my desk. (เอาหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะให้ฉันหน่อย) เป็นการชี้เฉพาะหนังสือเล่มนี้เล่มที่วางอยู่บนโต๊ะเท่านั้น ไม่ใช่หนังสือเล่มอื่นๆที่มีอยู่ We are pound of the boy who wrote this poem. (พวกเราภูมิใจในตัวของเด็กคนนี้ที่เขียนโคลงบทนี้) เป็นการชี้เฉพาะเด็กคนที่เขียนโคลงนี้เท่านั้น ไม่ใช่เด็กทั่วๆไป ใน Definite clause  เป็นอนุประโยคที่มีความสำคัญต่อ main clause มากจะขาดหายไปไม่ได้เลย เพราะถ้าขาดหายไป ใจความจะไม่สมบูรณ์ สังเกตได้ว่าจะไม่มีเครื่องหมาย , (คอมม่า) ในประโยค 2.Non- finite clause  เป็น clause ที่ใช้ขยายความหรืออธิบายคำนามที่อยู่ข้างหน้าให้ได้ใจความชัดเจนขึ้น เช่น Bangkok,which stands on the choaphaya river , is  the capital of Thailand. (กรุงเทพซึ่งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย)
His mother,who loves him very much , has made many sacrifices for his education. (แม่ของเขาผู้ซุ่งรักเขามาดได้เสียสละหลายอย่างเพื่อการศึกษาของเขา) ประโยค who loves him very much มิได้กำหนดชี้เฉพาะเจาะจงมารดาของเขาขึ้นมา 1คน จากบรรดามารดาหลายๆคนของพวกเขา หากแต่แทรกเข้ามาเพื่ออธิบายว่าเป็นผู้ที่รักเขามากเท่านั้น ประโยค Adjective clause จะนำหน้าด้วย" Relative words " คำเชื่อสัมพันธ์ซึ่งอาจเป็นrelative pronoun หรือ relative adverb  หรือ relative อื่น โดย relative pronoun จะมี who , whom .whose, which, of which ,that  และบางครั้งรวมถึง as และ but ด้วย   การใช้ who หรือ that เป็นประธานของAdjective clause แทนคนและแทนทั้งสอง (who หรือ  that) ใช้แทนสัตว์ สิ่งของไม่ได้ แต่ ใช้ which หรือ that เป็นประธานของ adjective clause แทนสัตว์และสิ่งของ และจะละทั้ง 2 ไม่ได้  เช่น  The woman who lives next door is very beautiful หรือ Where are the books ? they were on the top shelf เป็น Where are the book that were on the shelf?
                วิธีใช้ adjective clause 1. ใช้ประกอบคำเพื่อบอกรายละเอียดเพิ่มเติม เรียกว่า amplifier clause (อนุประโยคขยาย) ตัวอย่างเช่น The Great Pyramid of Giza that is one of the seven wonders of Ancient world is located in Cairo,Egypt ( พีระมิดกีซ่าที่เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 7 ของโลกยุคโบราณนั้นตั้งอยู่ในกรุงไคโรประเทศอียิปต์)ประโยคนี้ adjective clause คือ that is one of the seven wonders of the ancient world ขยายคำว่า The Great Pyramid of Giza ให้ทราบว่ารายละเอียดพีระมิดกีซ่าที่ตั้งอยู่ในกรุงไคโรประเทศอียิปต์เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ 2 นำมาประกอบเพื่อชี้เฉพาะสิ่งหนึ่งจากหลายหลายสิ่งเรียกว่า Definite clause(อนุประโยคชี้เฉพาะ)ตัวอย่างเช่น I like the girl who is the singing (ผมชอบเด็กผู้หญิงคนนี้ที่กำลังร้องเพลง) ประโยคนี้ adjective clause คือ who  is singing มาประกอบคำนามคำว่า girl เพื่อชี้เฉพาะลงไปว่าเด็กผู้หญิงที่ผมชอบนั้นก็คือเด็กคนที่กำลังร้องเพลง
                การใช้ that ในประโยค adjective clause that ซึ่งเป็น relative pronoun จะนำมาใช้ขึ้นต้นประโยค adjective clause ได้ก็ต่อเมื่อหน้าคำนามที่เป็น antecedent นั้นมีลักษณะดังต่อไปนี้ 1. มีคุณศัพท์ขั้นสูงสุด (superlative degree) ประกอบอยู่ข้างหน้าเช่น He is the most patient  man that I have ever seen (เขาเป็นคนที่มีความอดทนมากที่สุดที่ผมเคยเห็นมา) ใช้ that ขึ้นต้นประโยค adjective clause ได้เพราะหน้า  man ซึ่งเป็นคำ antecedent มีคุณศัพท์ขั้นสูงสุดคือ the most patient ประกอบอยู่ข้างหน้า 2. มีเลขนับลำดับที่ ordinal number ประกอบอยู่ข้างหน้าอาจเป็นการนับลำดับที่เช่น China is the first country that I am going to visit Z(จีนเป็นประเทศแรกที่ผมจะไปเที่ยว) ใช้นำหน้าประโยค adjective clause ได้เพราะหน้า antecedent คือCountry  มีเลขนับลำดับที่อยู่ข้างหน้า 3.คุณศัพท์บอกปริมาณ(Quantitative Adjective) ประกอบอยู่ข้างหน้าเช่น Money” is only thing that she needs (เงินคือสิ่งเดียวที่เราต้องการ) ใช้ได้ขึ้นต้นประโยค adjective clause ได้เพราะหน้า thing มีคุณศัพท์บอกปริมาณคือ only ประกอบอยู่ข้างหน้า
                การละคำ  relative pronoun ใน adjective clause ประโยค adjective clause ปกติจะต้องมีคำ relative pronoun (สัมพันธ์สรรพนาม)นำประโยคเสมอเช่น The man who came  here  yesterday is my uncle (ชายผู้ที่มาที่นี่เมื่อวานนี้เป็นลุงของฉัน) W\who เป็น relative pronoun นำประโยค adjective clause แต่ adjective clause ที่มีลักษณะต่อไปนี้จะละคำ relative pronoun ไอเสียก็ได้ถ้า adjective  clause นั้น  1.มีลักษณะเป็นภาษาพูดหรือภาษาธรรมดา (informal)   2. ตัว relative gป็น object (ของกริยาหรือบุพบทก็ได้) เช่น The pen  I want is on the table =The pen that I want is on the table.ปากกาที่  ( ผมต้องการอยู่บนโต๊ะ) (ละ that ไว้ ได้เพราะเป็นภาษาพูดและเป็น object ของ want)  The man you spoke to is our manager= The man whom you spoke to is our manager (ชายผู้ที่คุณพูดด้วยคือผู้จัดการของพวกเรา)  ละwhomไว้ได้เพราะเป็นภาษาพูดและในขณะเดียวกันก็เป็น object ของ to  *หมายเหตุจะละคำ relative pronoun ไม่ได้เมื่อ 1. คำ relative pronoun นั้นเป็นประธานในประโยคของมันเอง   2. คำ relative pronoun อยู่หลังคอมม่า เช่นผิด: My friend ,you met in Paris, is  now back in Thailand   ถูก :  my friends, whom you met  in Paris is now back in Thailand (เพื่อนของผมที่คุณพบที่ปารีสเดี๋ยวนี้กลับมาประเทศไทยแล้ว)    ละ whom  ไม่ได้เพราะหน้า whomมีcomma

                ดังนั้นเรื่อง adjective clause เป็นเรื่องที่สำคัญที่ทุกคนหรือนักศึกษาต้องเรียนอย่างเข้าใจและลึกซึ้งเพื่อเป็นสิ่งที่จะทำให้เรานำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องของการเรียนและพวกเราควรที่จะทำความเข้าใจและเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ในอนาคตทั้งในด้านของการทำงานในภาษาอังกฤษ มีกฎเกณฑ์ที่มากมายและกว้างขวาง นักศึกษาพยายามที่จะฝึกฝนเรียนรู้สม่ำเสมอจะทำให้เรามีความรู้ที่แม่นยำและแน่นอนเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตและการทำงานต่อไปในอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น