Learning Log (นอกห้องเรียน)
18/08/58
(ครั้งที่ 2)
ในภาษาอังกฤษมีทักษะการเรียนรู้ที่สำคัญ 4 อย่างด้วยกันคือ ทักษะการฟัง ทักษะพูด ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน
ทักษะแต่ละทักษะมีความสำคัญเท่าเทียมกันและมีความสำคัญในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก
หากนักเรียนหรือนักศึกษาคนใดที่มีทักษะทั้ง 4
ทักษะครบถ้วนสมบูรณ์ ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่สามารถเข้าใจและเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างลึกซึ้ง
และแท้จริงทักษะทั้ง 4 ทักษะโดยแต่ละทักษะสามารถที่จะทำให้เราเข้าใจในภาษาอังกฤษได้
และสามารถเข้าใจในเรื่องราวหรือเข้าใจในการสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด
สามารถเรียนรู้ภาษาได้ง่าย การฟังเป็นทักษะหนึ่งที่มีความสำคัญมาก การฟังเป็นจุดเริ่มต้นในการเรียนรู้สิ่งต่างๆให้เข้าใจ
ได้เรียนรู้สำเนียง ได้เข้าใจการใช้ไวยากรณ์ในประโยค
หลายๆคนประสบปัญหาในทักษะด้านการฟัง แต่ใช่ว่าการฟังนั้นเราจะไม่สามารถฝึกฝนได้หรือพัฒนาการฟังได้
ทุกคนสามารถพัฒนาได้กันทั้งสิ้น แค่เพียงต้องใช้ระยะเวลา ความพยายาม ความอดทน
ที่สำคัญคือการเปิดใจ
ใจเป็นสิ่งสำคัญในการเปิดรับสิ่งต่างๆแต่ทักษะการฟังนั้นไม่สามารถพัฒนาขึ้นในชั่วข้ามคืนได้
ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากการฝึกฝนแล้วยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่างอาทิ เช่น การดูหนัง การฟังเพลง
การฟังบทความหรือนิทานที่เป็นภาษาอังกฤษ
การฟังสิ่งเหล่านี้ก็สามารถทำให้เราพัฒนาศักยภาพในเรื่องของทักษะการฟัง
เนื้อหาและการเรียนรู้สำเนียงต่างๆหากเราสามารถฟังได้อย่างเข้าใจและสามารถพูดได้ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จ
แต่ถ้าหากใครที่ฟังไปและไม่ยังไม่สามารถเข้าใจหรือฟังไม่ออก พยายามในการฟังครั้งแล้วครั้งเล่า
เพราะการฝึกทักษะนั้นต้องมีความอดทนและปฏิบัติหลายๆครั้งอย่างต่อเนื่อง
นอกจากการทำกิจกรรมแล้วสิ่งที่ทำให้เราสามารถเข้าใจและฝึกทักษะการฟังได้ดีนั้น คือ
เทคนิคหรือเคล็ดลับในการฝึกฟังภาษาอังกฤษ
เคล็ดลับในการฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษให้เข้าใจนั้นและสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้มีหลากหลายวิธีด้วยกัน
ซึ่งแต่ละวิธีสามารถทำให้เราพัฒนาทักษะทางด้านการฟังได้มากยิ่งขึ้น
โดยขั้นตอนการฝึกฝนนั้นมี 9 ขั้นตอนด้วยกัน 1.ฟังรอบแรกรวดเดียวจบโดยไม่ดูบทความที่แนบมากับคลิปเสียง สูดหายใจลึกๆ
หามุมที่นั่งสบายๆผ่อนคลาย ไม่ต้องกังวลว่าจะฟังไม่รู้เรื่อง
เป็นการฟังครั้งแรกเพื่อให้หูได้รับรู้และฟังการออกเสียงครั้งแรก 2.ฟังซ้ำอีกครั้งเพื่อเก็บรายละเอียดเพิ่มเติมหลังจากการฟังครั้งแรกหรือจะฟังอีกกี่ครั้งก็ได้เพื่อให้ชินกับเสียงที่ฟัง
3. ฟังและหยุดคลิปทุกๆ 5 วินาทีในขณะที่หยุดนั้นให้เขียนคำหรือวลีอะไรก็ได้ที่ได้ยินหรือที่เราฟังออก
เขียนออกมาให้ได้มากที่สุดทำต่อไปจนจบทั้งคลิป
เมื่อฟังจบทั้งคลิปแล้วลองอ่านโน๊ตย่อๆที่เราเขียนดูว่าเราพอจะจับคอนเซปต์ในเนื้อหาได้หรือไม่ว่านคลิปกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
ในการฝึกนั้นขั้นเบื้องต้นเราไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกคำพูด
แค่พอเข้าใจคร่าวๆว่าเนื้อหาของคลิปพูดว่าอะไร เป็นการเดาคำศัพท์ที่เราฟังว่าเราเดาคำศัพท์หรือฟังคำศัพท์นั้นถูกต้องหรือไม่
4. ทำซ้ำแบบเดิมกับข้อ 3 แต่พยายามเติมคำศัพท์ลงไปให้มากขึ้นและแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆจากการเขียนครั้งแรก
5.พยายามเขียนเรียบเรียงคำที่ได้ให้เป็นประโยค
ลองใช้ความรู้ด้านไวยากรณ์ปะติดปะต่อคำและวลีต่างๆเข้าด้วยกัน
ยิ่งหากเรียบเรียงเป็นเรื่องราวได้ยิ่งดี 6. เก็บโน๊ตย่อชิ้นแรกออกไป
เริ่มฟังคลิปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ให้หยุดคลิปทุกๆ 10 วินาที
แล้วเขียนสิ่งได้ยินออกมาเหมือนเดิมอีกครั้ง
จากนั้นลองนำมาเปรียบเทียบกับใบโน็ตย่อชิ้นเก่าดู 7. ฟังคลิปเสียงอีกครั้ง
โดยอ่านโน้ตย่อของตนเองตามไปด้วย 8. เปรียบเทียบโน้ตย่อกับบทความจริงที่ถูกต้อง
ถ้าพบว่ามีคำผิดเยอะต้องลองวิเคราะห์ดูว่าปัญหาในการฟังของเราเกิดจากอะไร
บางคนอาจจะฟังไม่รู้เรื่องเพราะออกเสียงไม่ถูกต้อง ไม่รู้จักคำศัพท์
หรือมีปัญหากับเสียงหนัก เสียงเบา การเชื่อมคำ การรวบประโยค ก็ต้องลองแก้ปัญหาเป็นจุดๆไป
9. ฟังคลิปเสียงอีกครั้งไปพร้อมๆกับอ่านบทความจริงที่ถูกต้องเพื่อเช็คว่าตรงส่วนไหนบ้างที่คุณพลาดไป
จากนั้นลองกลับไปฟังรอบสุดท้ายแบบไม่อ่านโน๊ตและบทความเลย
ซึ่งพอถึงขั้นตอนนี้เราควรจะเข้าใจในเรื่องราวในนั้นมากขึ้น
ส่วนในการเลือกคลิปนั้นถ้าเป็นเรื่องที่เราสนใจจะยิ่งกระตุ้นให้เราอยากฝึกฝนมากยิ่งขึ้นค่ะ
การฝึกฝนของแต่ละคนนั้นจะใช้เวลาที่ต่างกันในการทำความเข้าใจและพัฒนาในด้านทักษะการฟัง
เพราะการที่เราจะฟังได้ดีนั้นจุดเริ่มต้นจากการเริ่มจากการฟังสิ่งที่เราชอบ
เข้าใจง่าย เหมาะต่อการเรียนรู้จะทำให้เราสนใจและเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
การฝึกทักษะการฟังนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ยากหากเราพร้อมที่จะเรียนรู้และเปิดรับมัน
การฟังนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เราสามารถพัฒนาศักยภาพสิ่งอื่นๆได้อีกด้วย
ทักษะการฟังเป็นสิ่งสำคัญมากทั้งในการเรียนภาษาอังกฤษ การทำงาน
และเป็นทักษะที่มีบทบาทมากในด้านของการสื่อสารกับชาวต่างชาติ หากการฟังของเราไม่แข็งแรงก็อาจจะมีความผิดพลาดและไม่เข้าใจในการสื่อสาร
ทักษะการฟังไม่สามารถพัฒนาขึ้นในชั่วข้ามคืนได้ มันต้องใช้เวลาในการฝึกฝน
ทำซ้ำอย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
ฟังแต่ละครั้งไม่กี่นาที แต่จำเป็นต้องเน้นการฝึกฝนบ่อยๆ จะได้ผลดีกว่าการฟังครั้งหนึ่งเป็นชั่วโมงแต่ฝึกแค่สัปดาห์ละครั้ง
หากรู้สึกว่าเรามีทักษะที่พัฒนาขึ้นแล้ว ระหว่างฟังเราสามารถฝึกพูดได้ด้วย
การพูดจะทำให้เราโฟกัสกับสิ่งที่ฟังมากขึ้น
และเป็นการรีเช็คให้มั่นใจว่าสิ่งที่เราได้ยินนั้นถูกต้องมากยิ่งขึ้นด้วย
ซึ่งระยะในการพัฒนาการฝึกทักษะทางด้านการฟังของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน
บางคนอาจใช้เวลานานเป็นเดือน หรือบางคนอาจต้องใช้เวลาเป็นปี
ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของผู้ศึกษา
การเขียนภาษาไม่มีทางลัด
การฝึกฝนเท่านั้นจะสามารถที่จะทำให้เราพัฒนาและทำให้เราเก่งขึ้นได้ หากเรามีทักษะการฟังที่ดีแล้ว
การศึกษาเล่าเรียน การทำงาน
หรือการสื่อสารกับชาวต่างชาติก็ไม่ยากเกินความสามารถค่ะ
การที่เรามีทักษะการฟังมี่ดีนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายต่อการเรียนรู้สิ่งรอบๆตัว
การสื่อสารในชีวิตประจำวันนั้น ทักษะการฟังนับว่าเป็นทักษะรับสารที่สำคัญอย่างหนึ่ง
เป็นทักษะที่ใช้กันมาก เป็นทักษะแรกที่ต้องทำการสอน
เพราะการที่เราจะพูดนั้นเราต้องเข้าใจก่อนจึงสามารถพูดโต้ตอบ อ่านหรือเขียนได้
ทักษะการฟังจึงเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนรู้ทักษะอื่นๆ ดังนั้น
ในการเรียนการสอนนักเรียนจึงควรไดรับการฝึกฝนทักษะการฟังอย่างเพียงพอและจริงจัง
ทักษะการฟังภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญและมีความสามารถในการฟังอย่างเข้าใจในสารที่ได้รับฟัง
การฝึกทักษะการฟังนั้นเราควรมีความรู้และเทคนิคต่างๆในการฝึกฝน
เราจึงจะสามารถประสบความสำเร็จและมีทักษะการฟังที่ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น