Learning Log( ในห้องเรียน)
18/08/58
ครั้งที่ 3
การเรียนภาษาอังกฤษนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับนักเรียนทุกคนในปัจจุบัน
ในการเรียนภาษาอังกฤษนั้นมีรายละเอียดมากมายที่เราต้องเรียนรู้
ฝึกฝนและยิ่งเฉพาะการปฏิบัติ แต่การที่เราจะปฏิบัติได้ดีนั้นเราต้องมีความเข้าใจในเนื้อหาอย่างชัดเจน
ยิ่งโดยเฉพาะเนื้อหาและหลักการในภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องเรียน
เรียนรู้เข้าใจกับเนื้อหาให้มากที่สุดโดยเฉพาะไวยากรณ์ทางภาษาอังกฤษ
ที่เป็นพื้นฐานของการเรียนภาษาอังกฤษ ไวยากรณ์พื้นฐานภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก ในการเรียนรู้
การใช้ภาษาทั้งในการพูดการอ่านโดยเฉพาะการเขียนการเขียนจำเป็นต้องใช้ไวยากรณ์เป็นอย่างมากโดยเฉพาะในการเขียนทางราชการมีความสำคัญในการทำงานการศึกษาเล่าเรียนหากผู้เรียนมีพื้นฐานทางไวยากรณ์ที่เล่นแล้วการเรียนเรื่องต่างๆคงไม่ยากสำหรับการเรียนรู้ของผู้ที่จะศึกษาโดยเฉพาะเรื่อง
tense กาลเวลาเป็นเรื่องที่หลายคนต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเป็นอย่างมาก
เพราะมีรายละเอียดและเนื้อหาที่ค่อนข้างยาก
และมีโครงสร้างทางไวยากรณ์ที่เราต้องจดจำและทำความเข้าใจ ในภาษาอังกฤษนั้นมีรูปแบบประโยคที่ต่างกันมีหลายหลายรูปแบบที่ใช้กันแต่ละรูปแบบนั้นเป็นรูปแบบประโยคที่เรียกว่าTense(กาลเวลา)โดยเรื่องTenseมีการใช้เพื่อเอาไว้แสดงเวลาในกรณีต่างๆซึ่งTenseคือรูปของคำกริยาที่บอกเวลาของการกระทำในภาษาอังกฤษด้วยการกระทำ
ที่เกิดขึ้นเป็นเวลาที่ต่างกันจะใช้รูปแบบของคำกริยาที่แตกต่างกัน โดยชนิดของแต่ละTenseได้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆคือ Presents tense, Past tense และ Future
tense โดยแต่ละ tense แบ่งออกเป็น 4 Tenseง่ายๆ หากรวมกันแล้วเรื่องTenseจะมีทั้งหมด 12
Tenseในการเขียนภาษาอังกฤษ
Tenseแรกคือ Present Tense เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
โดยสามารถแบ่งเป็น Tenseย่อยๆ ได้ 4Tense คือ present simple โครงสร้างประโยคคือ ประธานบวกกริยาช่องที่ 1 ซึ่งกริยาช่องที่ 1
นั้นหากประธานเป็นเอกพจน์ จะทำให้กริยาต้องเติม s หรือ es
โดยจะมีหลักการใช้ดังนี้ 1.
เป็นการใช้บอกข้อเท็จจริงทั่วไป 2.
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 3.
ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อยๆหรือเป็นประจำ
ซึ่งโดยทั่วไปมักแสดงด้วย adverb of frequency 4.
ใช้แสดงเหตุการณ์หรือกิจกรรมต่างๆ
ที่กำหนดไว้เป็นโปรแกรมซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคตที่วางแผนไว้ 5. ใช้กับเหตุการณ์แทน future tense ในประโยคเงื่อนไขที่
1 ได้ 6. ใช้ในประโยคสุภาษิตคำพังเพยได้ 7.
ใช้ในประโยคคำสั่งหรือขอร้อง 8. ใช้ในการบรรยายหรือบอกกิจกรรมหรือกิจวัตรประจำวันได้
9 .ใช้ในการเขียนบรรยายฉากในการแสดงละครเรื่องราวต่างๆได้
Present continuous tense โครงสร้างประโยคคือ ประธานบวก verb
to be +verb ing Tenseนี้มีหลักการใช้คือ
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูด 2. ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เริ่มเกิดขึ้นก่อนพูดเป็นเวลานาน
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในช่วงเวลานั้น 3. ใช้หลังคำเชื่อม while และas Present perfect โครงสร้างประโยคคือ ประธาน+ has หรือ have บวก verb
ช่องที่ 3 โดยTense นี้มีหลักการใช้ดังนี้ 1.
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต
และเหตุการณ์นั้นยังมีผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน 2.
ใช้กับเหตุการณ์ที่เคยหรือไม่เคยทำในอดีต ซึ่งมิได้บ่งบอกเวลาที่แน่นอนเอาไว้
และมักจะมีคำวิเศษณ์คือ ever ,never ,once, twice มาใช้ร่วมเสมอ presents
perfect continuous โครงสร้างประโยค
คือ ประธาน+ have has +verb ing และมีหลักการใช้ดังนี้
คือใช้กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และจะดำเนินต่อไปในอนาคต present perfect
continuous ใช้เหมือนกับ present perfect ต่างกันแค่เพียง
presents perfect continuous เน้นความต่อเนื่องไปถึงอนาคต
Tense
ที่ 2 คือ Past tense เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตใช้กับการกระทำที่เป็นอดีต
Past tense สามารถแบ่งออกเป็น tense ใหญ่ๆได้ 4 tense คือ past simple โครงสร้างประโยคคือ ประธาน+ verb ช่องที่ 2 มีหลักการใช้ดังนี้ 1.
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
และจบลงไปแล้วในอดีตและไม่มีอะไรต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งโดยมากจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกถึงอดีตอยู่ด้วย 2.
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นนิสัยเป็นประจำในอดีต โดยจะมีคำกริยาวิเศษณ์
บอกความถี่ และกริยาวิเศษณ์บอกถึงอดีตมากำกับในประโยคด้วย past continuous มีโครงสร้างประโยคคือ ประธาน+ was หรือ were บวก verb ing ซึ่ง was
ใช้กับประธานเอกพจน์ รวมทั้ง I were
ใช้กับประธานพหูพจน์
โดยมีหลักการใช้ดังนี้ 1.
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้น
และดำเนินไปอยู่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต
โดยอาจจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาในอดีตระบุไว้ให้ทราบด้วย 2 ใช้กับเหตุการณ์ 2. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคู่กับในอดีต โดยเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ใช้ past
continuous ส่วนเหตุการณ์ที่เข้ามาแทรกให้ใช้ past simple โดยที่ประโยคทั้งสองจะมีต่อเชื่อมจำพวก when ,while เป็นตัวเชื่อมเหตุการณ์ทั้งสองเข้าด้วยกัน
3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่กำลัง ดำเนินต่อเนื่อง
กันไปในช่วงเวลาเดียวกันในอดีตโดยจะมีคำเชื่อม while และอยู่ด้วย
และทั้งสองเหตุการณ์ใช้ past continuous ต่อไปเป็น past
perfect มีโครงสร้างประโยคคือ ประธาน + had + vช่องที่ 3 จะมีหลักการใช้ดังนี้ 1.
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลง ก่อนเหตุการณ์ที่เป็น past simple คือเมื่อเราได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เป็นอดีตจบลงแล้ว เหตุการณ์นี้ใช้ past
simple และถ้าอยากจะพูดถึงอีกเหตุการณ์หนึ่ง
ที่เกิดขึ้นก่อนอดีตที่เพิ่งจะพูดจบลงไปเมื่อครู่นี้ ให้ใช้ past perfect มีข้อจำกัดว่า การใช้ past perfect กับเหตุการณ์ 2
เหตุการณ์โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและจบลงแล้วในอดีต ให้ใช้ past
perfect ส่วนอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังและจบภายหลัง
และสามารถซึ่งก็เป็นอดีตเหมือนกันให้ใช้ past simple โดยมากแล้วจะมีคำเชื่อมจำพวก
when, before ,after เชื่อมในประโยค past perfect
continuous ใช้คล้ายๆกับ presents perfect continuous โดย past perfect continuous จะเน้นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในอดีต
past perfect continuous มีโครงสร้างประโยคคือ ประธาน +had+been+v.ing โดย tense นี้มีหลักการใช้ดังนี้
1.
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตซึ่งเกิดก่อนหน้าช่วงเวลา
อดีตที่กำลังพูดถึงกันอยู่( เหมือน past perfect tense) และดำเนินต่อเนื่องกันมาถึงช่วงเวลาหนึ่งจึงจบลง
ซึ่งจะใช้ past perfect หรือ past perfect continuous
ก็ได้โดยจะใช้ past perfect continuous ก็ต่อเมื่อต้องการเน้นความต่อเนื่องของเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นก่อนในอดีต
ว่าได้เกิดต่อเนื่องกันมามิได้หยุดก่อนที่จะมีอีกเหตุการณ์หนึ่ง
ที่เป็นอดีตเช่นกันได้เกิดขึ้นในภายหลัง โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลังนี้ใช้ past
simple tense นอกจากจะมีปัจจุบันและอดีตแล้วtenseที่เกี่ยวเนื่องกับอนาคตก็ยังมี
เพราะเช่นนี้จะเป็นการที่เราพูดถึงเรื่องราวในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น
สุดท้าย future tense คือรูปแบบของคำกริยาที่แสดงถึงเหตุการณ์หรือการกระทำ
ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกาล และสามารถแบ่งออกเป็น tenseย่อยๆ4tenseด้วยกัน คือ future simple โครงสร้างประโยคคือ ประธาน+will,shall
บวก verb ช่องที่ 1 โดยใช้ shall กับบุรุษที่ 1 ได้แก่ I,we และใช้ will กับบุรุษที่ 2 และบุรุษที่ 3 รวมถึงคำนามด้วย โดย future simple
tense มีหลักการใช้ดังนี้
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
และมักมีคำกริยาวิเศษณ์ที่แสดงเวลาที่เป็นอนาคตประกอบอยู่ด้วย 2. ใช้ในประโยคที่มีกริยา 2 ตัว โดยใช้ future simple กับกริยาที่อยู่หน้าคำเชื่อม
และใช้ present perfect หรือ present simple กับกริยาที่อยู่หลัง คำเชื่อมที่พบส่วนใหญ่ได้แก่ If ,unless,
when,untill,as soon as, before after นอกจาก future simple ใช้ will กับshall ในการเป็นโครงสร้างของประโยคแล้วยังคงสามารถใช้
to be going to + verb ช่องที่ 1
ได้อีกด้วย การที่เราจะใช้ to be going to+ verb ช่องที่ 1 ได้นั้น เราจะใช้ก็ต่อเมื่อ 1.
ใช้เพื่อแสดงความตั้งใจ 2. ใช้เพื่อแสดงการคาดคะเน 3. ใช้เพื่อแสดงข้อความที่คาดว่าจะเป็นจริงแน่นอน กรณีที่เราไม่สามารถใช้ to be going to
+ verb ช่องที่ 1 แทน will และ shall ได้มีดังนี้ 1.เหตุการณ์จะต้องเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
จะเลี่ยงไม่ได้ 2. ในประโยคเงื่อนไขที่ใช้ if เป็นตัวเชื่อม 3. เมื่อเป็นกริยาที่แสดงการรับรู้ future
continuous มีโครงสร้างประโยคคือ ประธาน+ will
หรือ shall +be+verb ing
และมีวิธีการใช้ดังนี้ 1.
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำสองอย่างที่เกิดขึ้น
ไม่พร้อมกันในอนาคตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะใช้ future continuous ส่วนอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หลังให้ใช้ presents simple 2.
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีการระบุเวลาที่ชัดเจน future
perfect มีโครงสร้างประโยคคือ ประธาน + will หรือ
shall + verb ช่องที่ 3 tenseนี้มีหลักการใช้ดังนี้
1.
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต
โดยเป็นเพียงการคาดการณ์ว่าหากถึงตอนนั้นแล้วเหตุการณ์หรือการกระทำอันหนึ่งจะได้เกิดขึ้นสมบูรณ์อยู่ก่อนแล้ว
จึงมีอีกเหตุการณ์ที่สองเกิดตามมา 2.
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นและสมบูรณ์ในอนาคต
มักมีคำหรือกลุ่มคำบอกเวลาความเป็นอนาคตกำกับไว้ด้วย และนำหน้าด้วยบุพบท by
เสมอ สุดท้าย future perfect continuous ใช้คล้ายคล้ายกับ
future perfect tense โดยบางครั้งสามารถนำเอา future
continuous มาใช้แทนกันได้
เพราะเป็นการเน้นความต่อเนื่องที่จะเกิดในอนาคตเหมือนกัน tense นี้มีหลักการใช้ดังนี้ 1.
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดและดำเนินต่อเนื่องกันไปในอนาคต( ใช้คล้ายกับ
future perfect แต่เน้นที่ความต่อเนื่องกัน)
โดยสรุปการที่เราจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ดีนั้น
เราจำเป็นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในวิชาภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก
ทั้งในเรื่องของไวยากรณ์ที่ต้องมีความรู้อย่างชัดเจน
เรื่องหลักการใช้ภาษาที่ต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งๆ ในการเรียนภาษาอังกฤษได้ดีนั้น
หลักการภาษา และไวยากรณ์เป็นสิ่งที่นักเรียนนักศึกษา
ต้องเรียนรู้และเข้าใจเป็นอย่างมาก
ในการศึกษาเล่าเรียนการทำงานผู้เรียนคนใดที่มีความรู้ในเรื่องของหลักภาษาและไวยากรณ์เป็นอย่างดีอย่างนั้นแล้วจะสามารถเข้าใจในเนื้อหา
การศึกษาเล่าเรียนการทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น
และสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาได้อย่างง่ายดาย
นอกจากจะสามารถสื่อสารได้ดีแล้วนั้นเรายังสามารถเขียนภาษา
อังกฤษในทางราชการได้อย่างถูกต้อง และสวยงาม
และยังเขียนได้ง่ายดายยิ่งขึ้นโดยเฉพาะเรื่องtense (กาลเวลา) เป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมากในการพูดและเขียนภาษาอังกฤษ
การที่เราจะพูดและเขียนได้ดีนั้นก็เป็นส่วนประกอบสำคัญของประโยคทำให้การเล่าเรื่องราว
การเขียนหรือการสื่อสารกับเจ้าของภาษาให้รู้และเข้าใจในสิ่งที่เราจะสื่อมากยิ่งขึ้น
หากเราใช้ tense ผิดผิดจะสามารถทำให้การสื่อสารของเรา
ผิดพลาดและผิดเพี้ยนไปได้
ดังนั้นเห็นจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นเช่นใดก็แล้วแต่ ทั้ง 12 tense รวมเป็นสิ่งจำเป็น
ที่นักเรียนนักศึกษาต้องเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะ tenseมีเนื้อหามากมาย
มีโครงสร้างหลายๆรูปแบบที่ใช้กัน แต่ละtenseนั้น
มีโครงสร้างที่แตกต่างกันจึงเป็นสิ่งที่ยากที่นักเรียนจะเข้าใจแต่หากเรามีความพยายามและฝึกฝนในการทำข้อสอบหรือการทบทวนเนื้อหาบ่อยๆ
จะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาอย่างลึกซึ้งและสามารถนำเนื้อหาไปใช้ในการเรียนการทำงานในด้านของการเขียน
และการสื่อสารได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น